มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เกิดจากการหมักจากองุ่นแดง โดยใช้องุ่นพันธุ์ Shiraz และ Cabernet Sauvignon
ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน โดยไวน์ชนิดนี้จะใช้องุ่นพันธุ์ Shiraz 52% และองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon
ที่ 48% โดยไวน์ชนิดนี้ เป็นไวน์ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของ Pat Connors เป็นไวน์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เพียง 13.5%
ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกรรมวิธีหมักที่แตกต่างจากไวน์ชนิดอื่นๆ โดยไวน์ชนิดนี้จะต้องมีการคัดเลือกองุ่นที่มาใช้
โดยจะต้องเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปีเท่านั้น
โดยไวน์นี้จะเกิดจากการหมักในถังโอ้กฝรั่งเศสและถังโอ้กอเมริกัน และใช้เหล็อกสแตนเลสในการหมักอีกด้วย
ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีแดงเข้มสว่างที่ผสมรวมกันกับสีม่วงสว่าง โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่น
ที่หอมและเต็มเปี่ยมไปด้วยแบล็อกเคอร์แรน รวมทั้งยังมีกลิ่นของไวน์แคสซิสที่ที่เป็นไวน์ที่เกิดจากการหมักลูกเกดดำจางๆ
รวมทั้งยังมีกลิ่นที่หอมจากลูกพลัมและเชอร์รี่ดำ รวมทั้งยังมีกลิ่นหญ้าจางๆด้วย นอกจากนี้
ไวน์ชนิดนี้ยังมีกลิ่นของพืชที่ใช้ในการแต่งรสอย่าง Aniseed และอบเชยที่ยิ่งเพิ่มให้ไวน์นี้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในส่วนของรสชาตินั้น ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่อุดมไปด้วยความหวานของผลไม้ที่โลดแล่นเพื่อลิ้มลองรสที่งดงาม
โดยไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เต็มไปด้วยรสสัมผัสของบลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และต้นไวโอเลต นอกจากนี้ยังมีรสชาติของเหล่า
ผลไม้สีดำที่หลอมรวมกับความเผ็ดและหวานนิดๆของๆเครื่องเทศ โดยเฉพาะต้นโอ้ก นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้
ยังมีรสสัมผัสที่เบาบางและนุ่มนวลลิ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่กลมกล่อม
มีรสชาติที่สมดุลกันมาก ทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติของวัตถุดิบต่างๆ
โดยรวมแล้ว นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีรสชาติและกลิ่นอายที่มีความดั้งเดิมแบบคลาสสิกได้เป็นอย่างดี
เป็นไวน์ที่มีความสดใหม่ในรสชาติ รวมทั้งมีการใช้วัตถุดิบที่สดมาจากไร่องุ่นทั้งหมด
และเป็นไวน์ที่สามารถดื่มได้เรื่อยๆทุกวัน อย่างเช่นชาวออสเตรเลีย
นอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เหมาะสมสำหรับการรับประทานเนื้อสเต๊กกับพาสต้าควบคู่กับไวน์ชนิดนี้อีกด้วย
ที่เกิดจากกลั่นในถังธรรมชาติที่แตก เป็นวิสกี้ที่มีการเลือกเติมกรรมวิธี First fill selection
มีการวางจำหน่ายเป็น limited edition ในปี 2015 เป็นเหล้าสก็อตซ์ที่เป็นเอกลักษณ์
มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างเข้มข้น โดยอยู่ที่ประมาณ 59.1%
เหล้าชนิดนี้มีกลิ่นที่มีความเป็นเย็นจากน้ำแข็งบดและมีส่วนเพิ่มเติมจาก
มะพร้าว วานิลลา ครีม และกลิ่นคัสตาร์ด นอกจากนี้
นักดื่มทั้งหลายอาจะได้รับกลิ่นจากกล้วยและเยลลี่บางส่วนด้วย
ในเรื่องของรสชาตินั้น เหล้าชนิดนี้จะมีความแรงและเข้มข้นเป็นอย่างมากในช่วงคำแรก
หลังจากนั้นรสชาติก็จะค่อยๆดีขึ้น และเริ่มหวานขึ้นจากการหมักโอ้ก มีรสชาติเพิ่มเติมมาจากคัสตาร์ด
น้ำตาลไซตรัส และเหล้าชนิดนี้มีผลทำให้เกิดความสดชื่นได้อีกด้วย
เหล้าชนิดนี้นับได้ว่าเป็นเหล้าที่มีรสชาติแบบ “การไต่ลำดับ”
โดยจะรุนแรงในช่วงแรกและเริ่มหวานขึ้นเรื่อยๆในช่วงท้าย รสชาติโดยรวมนั้นมีความหวานเล็กน้อย
มีเอกลักษณ์จากกลิ่นและรสสัมผัสของวานิลลา และมีกลิ่นไม้จากเขตอบอุ่นกับเครื่องเทศเล็กน้อย
ซึ่งรสชาติประเภทนี้มักจะพบได้ในเหล้าเบอร์เบินเก่าแก่มากกว่า 16 ปีขึ้นไปเท่านั้น
Glenlivet 21 Year Old Archive เป็นเหล้าที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง
จากการแข่งขันการประกวดเหล้าระดับนานาชาติในปี 2005-2007 เป็นเวลา 3 ปีซ้อน
ที่รัฐซาน ฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเหล้าที่ต้องใช้เวลาในการหมัก
แต่ละครั้งยาวนานกว่า 21 ปี โดยเหล้าชนิดนี้มีประมาณระดับแอลกอฮอล์อยู่ที่ 43%
โดยกลิ่นของเหล้าชนิดนี้เป็นเหล้าที่เบาบางและมีความเป็นผลไม้สูงมาก
มีกลิ่นของน้ำตาลไซตรัส มะนาว ส้ม และกลิ่นจากดอกไม้ นอกจากนี้
ยังมีกลิ่นเสริมเพิ่มเติมมาจากการหมักในถังโอ้ก รวมถึงมีการผสมเครื่องเทศและน้ำผึ้งจางๆ
เพื่อไม่ให้มีแต่กลิ่นธรรมชาติมากจนเกินไป
นอกจากกลิ่นที่หอมหวาน เป็นธรรมชาติแล้ว
รสชาติของเหล้านี้ก็มีความเป็นมอลต์และน้ำผึ้งชัดเจน นอกจากส่วนผสมทั้งสองอย่าง
ที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเหล้านี้แล้ว ส้มก็ถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในเหล้านี้ด้วย
เหล้านี้ได้มีส่วนที่เพิ่มเติมจากขิง เครื่องเทศ อบเชย และโอ้กเปรี้ยว
เหล้านี้มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก
มีความนุ่มติดลิ้นยาวนาน มีส่วนที่เน้นในความหวานจากน้ำตาลไซตรัส จากกลิ่นไม้จางๆ จากดาร์ก
ช็อกโกแลต และอบเชย นับได้ว่าเป็นเหล้าที่มีรสชาติสมดุลและครบเครื่อง
ความเปรี้ยว หวาน เผ็ดและขมช่วยหลอมหลวมวัตถุดิบทั้งหลายให้กลายเป็นเหล้าชนิดนี้
นับได้ว่าเป็นเหล้าที่มียอดขายได้ดีที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก ถือกำเนิดมาจากโรงกลั่นสุราใน Glenlivet
ที่อยู่ในย่าน Speyside มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า tom a Voan อันมีความหมายว่า
เหล้าที่ได้จากวัตถุดิบจากป่าไม้ในเขตมอเรย์ มีปริมาณของแอลกอฮอล์ที่ประมาณ 58.1%
เหล้าประเภทนี้เป็นเหล้าที่มีกลิ่นน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากเป็นเหล้าที่มีกลิ่นสัมผัสจากวานิลลาและเปลือกผลไม้ชนิดต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมปนเผ็ดนิดๆมาจากใบผักชีและแกงกะหรี่นิดๆ รวมกับกลิ่นขี้เลื่อยเบาๆ
ด้วยกลิ่นเหล่านี้อาจจะทำให้นักดื่มทั้งหลายได้รับความรู้สึกว่าได้ดื่มเหล้านี้กลางทุ่งหญ้า
ในธรรมชาติที่สวยงาม
เรื่องรสชาติก็ไม่มีความแตกต่างจากกลิ่นที่ได้รับมาเท่าไหร่นัก
เหล้านี้จะมีรสชาติสมดุลพอดีจากใบผักชี แกงกะหรี่ และผลไม้หลายๆชนิดรวมกัน
โดยเฉพาะรสชาติของมะม่วงที่นำออกมาเหนือผลไม้อื่นๆ
นับได้ว่าเหล้าชนิดนี้เป็นเหล้าที่มีความสวยงามและมีรสชาตินุ่มนวล
มีความเป็นธรรมชาติ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป และมีความเป็นผลไม้และสมุนไพรเป็นหลัก
โดยเฉพาะมะม่วงและความหวานจากผลไม้ต่างๆนั้นที่เสริมให้กลิ่นและรสชาตินั้นลงตัวกันอย่างพอดี
The Glenlivet XXV นับได้ว่าเป็นเหล้าที่เป็นตัวแทนแห่งเหล้าเชอร์รี่ทั้งหลาย
นับได้ว่าเป็นเหล้าเกรดพรีเมี่ยมชนิดหนึ่งที่ใช้เวลาในการมากกว่า 2 ปีขึ้นไปในถังเชอร์รี่
เพื่อกลั่นและเพิ่มความหวาน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากความหวาน
ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Glen Livet และมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 43%
เหล้านี้มีกลิ่นที่หอมหวนและนุ่มนวลจากเชอร์รี่บริสุทธิ์
เป็นเหล้าที่มีความงดงาม อ่อนนุ่ม และเข้มข้น โดยกลิ่นเหล้าเหล่านี้จะมีกลิ่นโอ้กที่ชัดเจนปราศจากวามเป็นวิสกี้
มีความสดและเบาบางของความหวานและความเค็มของผลไม้ มีกลิ่นผสมรวมระหว่างมิ้นท์ โกโก้
ถัวเฮเซลนัท นมช็อกโกแลต ผลไม้หลากหลายชนิด
และเครื่องเทศที่ช่วยเสริมความเผ็ดและร้อนแรงให้กับกลิ่นของเหล้าชนิดนี้
รสชาติของเหล้านี้แตกต่างจากกลิ่นที่ได้รับพอสมควร
รสสัมผัสของเหล้านั้นมีความหวานชัดเจน ทั้งความหวานจากครีม
เชอร์รี่ ผลไม้ ลูกเกด ลูกพรุน โอ้กบางชนิด โดยรสเหล่านี้นอกจากจะให้ความหวานแล้ว
ยังมีความขมเล็กๆจากความเข้มของตัวเหล้าอีกด้วย
โดยรวมแล้วนับได้ว่าเป็นเหล้าที่มีรสชาติหวานกลมกล่อม
ผสมกับความเผ็ดและความขมนิดๆ เหมาะสำหรับนักดื่มทั้งหลายที่ชื่นชอบในความหวาน
เป็นรสชาติและกลิ่นที่ผสมรวมกันระหว่างถั่ว ลูกพลัม และกลิ่นเหมือนขนมทาร์ตจางๆ
เป็นหนึ่งใน 2 เหล้าของ Master Distiller ที่ได้มีการวางขายครั้งแรกในช่วงฤดูร้อน ปี 2015
โดยในช่วงแรกของการวางขาย เหล้านี้ได้ตีตลาดในกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก
และได้แพร่กระจายมาสู่กลุ่มลูกค้าทุกคนเหมือนกับในปัจจุบัน
เหล้าชนิดนี้เกิดจากการหมักโดยโอ๊กดั้งเดิมจากหมู่บ้านหมักเหล้าเก่าแก่
แล้วหมักวัตถุดิบลงในถังเชอร์รี่เก่าที่แตกและถังโอ้กอเมริกันเก่า
กลิ่นของเหล้านี้ นับได้ว่ามีความหวานสไตล์คลาสสิกดั้งเดิม
มีความหวานที่เติมเต็มไปด้วยกลิ่นคาราเมล เป็นกลิ่นหลัก แล้วติดตามมาด้วยกลิ่นของลูกแพรหวาน
ทอฟฟี่รสแอปเปิ้ล ลูกพลัม ลูกเกด กลิ่นผลไม้ที่ผ่านการเคียว
และกลิ่นน้ำผลไม้ Sultanas มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 40%
รสชาติที่ได้จากเหล้านี้นับได้ว่ากลมกล่อมกลางๆ ไม่เข้มข้นและหวานจนเกินไป
เป็นเหล้าที่มีรสชาติละมุน จางๆตามมาตรฐานของเหล้าชนิดนี้ รสชาติครีมเบาๆ
บวกกับรสสัมผัสของผลไม้ในฤดูร้อน เช่น แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแบล็กเคอร์แรนซ์
โดยรสชาติทั้งหลายที่กล่าวมาจะมีรสชาติเหมือนกันกับการดื่มน้ำผลไม้มากกว่า
ทำให้การผสมเหล้ากับน้ำเชื่อมเมเปิ้ล สามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดื่มเหล้าชนิดนี้
เหล้าชนิดนี้ได้ให้กลิ่นและรสชาติที่พอดี
ไม่ติดลิ้น ให้ทางความหวานจากครีมในช่วงแรกและค่อยๆถูกแทนที่ด้วยถั่วในปริมาณน้อย
ก่อนจะจบลงด้วยความดั้งเดิมของเหล้าประเภทนี้
ซึ่งได้แก่ความละมุนจากเหล่าความหวานของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย
The Glenlivet Master Distiller’s Reserve Small Batch เป็นเหล้าที่ผลิตมาจาก Speyside
และเป็นเหล้าประเภทเหล้าสก็อตซ์ หนึ่งในหมวดหมู่สำคัญของวิสกี้ อันมีชื่อเสียงลือเลื่องไปทั่วโลก
โดยเหล้าชนิดนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในระดับทั่วไป อยู่ที่ประมาณ 40%
กลิ่นของเหล้านี้ นับได้ว่าเป็นเหล้าที่มีวามหอมหวาน น่าลิ้มลอง
เป็นเหล้าที่ถูกเติมเต็มไปด้วยกลิ่นของความหวานทั้งหลายที่ผสมกันอย่างปนเป
กลิ่นคละคลุ้งไปด้วยความหอมจากแอปเปิ้ล ลูกแพร ลูกกวาด อบเชย คาราเมล วานิลลา และครีม
นอกจากเหล้าที่แสดงได้ถึงความหวานแล้ว รสชาตินั้นกลับมีความซับซ้อน
สวนทางกับกลิ่นที่ได้สัมผัสเมื่อพบตอนเริ่มเปิดขวด รสชาตินั้นมีความละเอียด ยุ่งเหยิง
และมีความขนจางๆและความเผ็ดนิดๆ ผสมกันอยู่ มีทั้งรสชาติของโอ้ก
วานิลลา เยลลี่ ถั่วและคาราเมล รวมกันอยู่
โดยภาพรวมแล้ว เหล้าชนิดนี้เป็นเหล้าที่มีรสชาติสมดุล
โดยมีรสชาติและกลิ่นโดยส่วนใหญ่มาจากมอลต์ซึ่งมาจากข้าวบาร์เลย์ 100%
มีความสลับซับซ้อนและยุ่งเหยิงในรสชาติ ทั้งหวาน ขม เผ็ด เปรี้ยวผสมกัน
ถึงทำให้เหล้าชนิดนี้มีความเป็นพิเศษและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Glenlivet Nadurra Oloroso นับได้ว่าเป็นเหล้าชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจาก Speyside
ในประเทศสก็อตแลนด์ ตัวเหล้าจะมีสีเหลืองอำพันจากการหมักด้วยมอลต์ที่ได้จากข้าวบาร์เลย์ 100%
และมีความเข้มข้นสูง โดยเหล้าชนิดนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 60.7%
เหล้าชนิดนี้มีรสชาติที่หอมละมุนไปด้วยกลิ่นแบล็กเบอร์รี่
กลิ่นเชอร์รี่ กลิ่นลูกพลัม กลิ่นโอ้ก
และกลิ่นผลไม้สุก นอกจากนี้ เมื่อนักดื่มทั้งหลายได้ลองดมกลิ่นเหล้าชนิดนี้แล้ว
จะสัมผัสได้ถึงวัตถุดิบจากป่าทั้งหลายผ่านทางกลิ่นของเหล้านี้ นอกจากกลิ่นป่า
บางคนอาจจะได้กลิ่นของเครื่องหนัง ซึ่งทำให้เหล้าดูแพงด้วย
นอกจากกลิ่นเหล้าที่งดงามแล้ว รสชาติก็กลมกล่อยอร่อยไม่แพ้กัน
รสชาติที่ดียิ่งกว่ากลิ่นของเหล้านั้นเกิดจากการปรุงแต่งด้วยผลไม้แห้ง รวมกับลูกพลัมจางๆ
รสชาติออกไปทางร้อนแรงและขมๆหวานๆปนกันเล็กน้อย มีความสดใหม่ ดื่มแล้วรู้สึกชุ่มชื่น
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นถั่วและเครื่องเทศที่มาตัดกับความเข้มข้นและหวานเพิ่มอีกด้วย
ทั้งรสชาติและกลิ่นของเหล้าที่เผ็ดร้อนและรุนแรง มีรสสัมผัสที่ติดลิ้นยาวนาน
หลอมหลวมความหอมของผลไม้เครื่องเทศแห้ง
แอปเปิ้ลแห้งและมอลต์อันเป็นเอกลักษณ์ของรสชาติเหล้าแห่ง Speyside
นอกจากความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว เหล้านี้ยังมีการรังสรรค์ลูกเล่นของลูกกวาดแอปเปิ้ล
ดาร์กช็อกโกแลต และอบเชยด้วย
Maker’s mark cask strength เป็นวิสกี้ในตำนานที่นักดื่มส่วนใหญ่ล้วนรู้จักกันเป็นอย่างดี
และเป็นเบอร์เบินระดับพรีเมี่ยม เหล้าชนิดนี้มีอยู่เพียงแค่ 2 ผลิตภัณฑ์ย่อย
ได้แก่ แบบดั้งเดิมและแบบ Maker’s mark 46 เหล้าชนิดนี้เป็นเหล้าที่มีต้นกำเนิดมาจาก
รัฐเคนทักกี้ของสหรัฐอเมริกา มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 54-57%
เหล้าทั้งสองแบบนั้นมีทั้งรสชาติและกลิ่นที่คล้ายคลึงกัน
โดยกลิ่นของเหล้านี้มีกลิ่นหอมหลักจากเชอร์รี่ อบเชยและวานิลลา
และได้กลิ่นจางๆผสมปนเปมาบ้างเล็กน้อยมาจากโอ้ก เครื่องเทศ และถ่านหิน
รสชาตินั้นนับได้ว่าดีเยี่ยมและกลมกล่อม โดยรสชาติหลักของเหล้านี้จะมาจากคาราเมล
ถั่วและอบเชยรมควันจจางๆ ซึ่งได้กินเกรียมเล็กน้อยจากควัน กลิ่นเครื่องเทศ
กลิ่นน้ำตาลแดงเผารวมกันกับแบล็กเบอร์รี่
เหล้านี้มีเอกลักษณ์ที่รสชาติของการไหม้และการรมควันของวัตถุดิบทั้งหลาย
กลิ่นควันเหล้านี้ช่วยคลุกเคล้าสิ่งเหล่านี้ให้รวมกันเป็นหนึ่งได้ รสชาติที่เข้มข้นติดลิ้นยาวนาน
และมีความอบอุ่น เหมาะสำหรับฤดูหนาว รวมทั้งมีกลิ่มและรสดผ็ดจางๆจากเครื่องเทศ
และอบเชยที่ช่วยเพิ่มความสมดุลแก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี
Jack Daniel’s Sinatra เป็นหนึ่งในเหล้าของตระกูลวิสกี้ของแบรนด์ Jack Daniel
ที่นับได้ว่าเป็นผลของความร่วมมือกับเพื่อนเก่าแก่อย่างแบรนด์ Old blue eye
ที่เกิดจากการหมักในถัง Sinatra ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล้าที่เก่าแก่
เป็นวิสกี้ที่มีกลิ่นและรสคล้ายคลึงกับไม้ รวมกับ Jack Daniel’s no.7
ซึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 45%
เหล้าชนิดนี้เป็นเหล้าที่มีกลิ่นเบาบางและอบอวลไปด้วยสมุนไพรและความหวานจากแหล่งต่างๆ
ทั้งกลิ่นคาราเมล น้ำผึ้ง กลิ่นข้าวโพด โอ้ก แอปเปิ้ลสด รวมกับเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างลงตัว
รสชาติก็นับได้ว่าดีเยี่ยมสมกับอายุของเหล้าที่ใช้เวลาในการหมักอย่างยาวนาน
เหล้านี้มีรสสัมผัสจากวานิลลา ซึ่งให้ความหวานที่เป็นเอกลักษณ์
และความนุ่มนวลของความหวานผลไม่สุกที่ฉ่ำอย่างลงตัว
และมีความเผ็ดจากเครื่องเทศและใบยาสูบจางๆเพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ยังไม่ความหวานเบาๆจากน้ำผึ้งอีกด้วย
นับได้เลยว่าเหล้าชนิดนี้เป็นเหล้าที่นุ่มนวลและมีรสชาติกลางๆตั้งแต่ช่วงแรกและค่อยๆเบาบางลง
ในช่วงสุดท้าย มีกลิ่นและรสชาติของโอ้กนำ และตามด้วยเหล่าความหวานทั้งหลายตามมา
ให้รวมชาติที่นุ่มลึก และเข้มข้นสำหรับนักดื่มในบางท่านที่นิยมรสหวานอีกด้วย
แนะนำเหล้านอก
error: Content is protected !!