Tag Archives: ไวน์

Dalla Valle Maya

Dalla Valle Maya

Dalla Valle Maya นับได้ว่าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยเจ้าของแบรนด์ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับไร่องุ่น Dalla Valle ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย Gustav และ Naoko Dalla Valle เมื่อปีค.ศ.1982 ที่บริเวณเนินเขาทางตะวันออกของเมือง Oakville โดยประวัติศาสตร์ของครอบครัว Dalla Valle ได้มีการผลิตไวน์ที่ประเทศบ้านเกิดอย่างอิตาลีมาอย่างยาวนาน ไวน์ชนิดแรกของ Dalla Valle อย่าง Dalla Valle Cabernet Sauvignon นั้นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีค.ศ.1986 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาได้ก่อตั้งโรงงานผลิตไวน์ขึ้น

โดยไร่องุ่น Dalla Valle มีพื้นที่ 25 เอเคอร์หรือประมาณ 63.25 ไร่ ได้มีการแบ่งพื้นที่ปลูกต้นองุ่นสายพันธุ์หลักคือสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และสายพันธุ์ Cabernet Franc สำหรับองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot ก็ได้มีการปลูกอยู่ในบริเวณเล็กๆ ที่ไร่แห่งนี้เช่นเดียวกัน ด้วยดินในบริเวณไร่มีส่วนผสมของดินภูเขาไฟทำให้สภาพพื้นดินของไร่แห่งนี้เหมาะสมอย่างมากแก่การเพาะปลูกไวน์ระดับพรีเมี่ยม พวกเขาเริ่มปลูกองุ่นด้วยวิธีออแกนิคในปีค.ศ. 2007 และค่อยๆเปลี่ยนมาใช้วิธีการปลูกแบบไบโอไดนามิคแทนปีค.ศ. 2017 ด้วยวิธีการปลูกแบบไบโอไดนามิคนี้จะช่วยรักษาสุขภาพของต้นองุ่น และยังช่วยยืดอายุของต้นองุ่นให้ยาวขึ้นอีกด้วย

ที่ Dalla Valle จะผลิตเหล้าแชมเปญแดงสามชนิดต่อการเก็บเกี่ยวหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือ เหล้าแชมเปญ Collina Dalla Valle ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.2007 ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ทานได้เพลิดเพลินไปกับความอ่อนเยาว์ของไวน์ชนิดนี้ ด้วยราคาที่จับต้องได้ง่ายมากที่สุดของแบรนด์ Dalla Valle และการผสมผสานที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี ต่อมาคือเหล้าแชมเปญ Dalla Valle Cabernet Sauvignon ซึ่งเป็นไวน์ชนิดแรกของแบรนด์ที่ผลิตตั้งแต่ปีค.ศ.1986 จุดเด่นของไวน์ชนิดนี้คือรสชาติที่ชัดเจนและความอ่อนนุ่มภายในปาก ประกอบกับกลิ่นหอมของราสเบอร์รี่ ผลพลัมสุก กลิ่นของกล่องไม้สนแบบเก่า และแซมด้วยกลิ่นของใบยาสูบ กลิ่นหินที่แห้ง ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ไวน์แดงชนิดที่สามคือเหล้าแชมเปญ Maya ที่ถือได้ว่าเป็นเหล้าแชมเปญระดับเรือธงของแบรนด์เลยที่เดียว โดยไวน์ชนิดนี้ได้ถูกตั้งชื่อตามชื่อของลูกสาว Gustav และ Naoko Dalla Valle ที่ชื่อ Maya ความพิเศษคือไวน์ชนิดนี้จะมีสีแดงเข้ม จากการผสมระหว่างองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Cabernet Franc ในอัตราส่วน 60 ต่อ 40 และมีกลิ่นหอมจากผลไม้สีแดงและผลไม้สีดำ ที่ประกอบไปด้วยเชอร์รี่สีแดง บลูเบอร์รี่ และกลิ่นหอมของอบเชยและโกโก้ที่แทรกมาเพียงเล็กน้อย รสชาติของเหล้าแชมเปญ Maya นี้เมื่อทานแล้วจะได้รสชาติของพลัมและเชอร์รี่สีสีดำอบอวนไปทั่วทั้งปาก ด้วยเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มสวยงามและความแวววับของธรรมชาติ ทำให้เหล้าแชมเปญ Maya ได้รับความนิยมอย่างมาก

อุณหภูมิที่เหมาะสมแก่การเสิร์ฟเหล้าแชมเปญ Maya อยู่ที่ประมาณ 15.5 องศาเซลเซียสเพื่อคงความสดชื่นเอาไว้ โดยอาหารที่เหมาะแก่การรับประทานคู่กับเหล้าแชมเปญนี้คืออาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีกต่างๆ อย่างเนื้อไก่ เนื้อเป็ด และเนื้อไก่งวง เป็นต้น

Dalla Valle Maya

Dalla Valle Maya

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru ได้ถูกตั้งชื่อตามนักกวีชาวโรมัน Ausonius ผู้ครอบครองพื้นที่ไร่องุ่นมากกว่า 100 เอเคอร์ รอบเมือง Saint Emilion โดยที่ Château Ausone นั้นตั้งอยู่บริเวณเนินเขาทางตอนใต้ของเมือง Saint Emilion โดยมีลักษณะพื้นที่ที่เป็นทางชันและหันไปทางฝั่งทิศใต้ เพื่อป้องกันต้นองุ่นจากลมหนาวทางตอนเหนือ และฝนจากทางฝั่งตะวันออก

แบรนด์ไวน์ชื่อดังอย่าง Ausone มีไร่องุ่นอยู่จำนวน 7.3 เฮกตาร์ หรือประมาณ 45.625 ไร่ โดยภายในไร่องุ่นนี้ได้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Merlot 50% และสายพันธุ์ Cabernet Franc อีก 50% ของพื้นที่ ต้นองุ่นเหล่านี้จะถูกปลูกประมาณ 6,000 ต้นต่อเฮกตาร์ ด้วยดินหินปูน (Limestone soil) และต้นองุ่นมีการยึดเกาะชั้นดินด้วยดินเหนียวหรือดินร่วงผสมหินปูน ทำให้ต้นองุ่นได้รับแร่ธาตุอย่างเต็มที่ อายุเฉลี่ยของต้นองุ่นในไร่ของ Ausone คือเฉลี่ยประมาณ 50 ปี หรือบางต้นอาจมีอายุถึง 1 ศตวรรษเลยทีเดียว และเมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยว ผลองุ่นภายในไร่ก็จะถูกเก็บเกี่ยวทั้งหมดด้วยมือ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของผลผลิต

ในปีค.ศ. 2009 Ausone ได้มีการเปลี่ยนแปลงห้องใต้ดินขึ้น โดย Alain Vauthier ได้รับถังแสตนเลสแช่เย็นที่มีความจุ 6 เฮกตาร์ลิตรขนาดเล็กมา จึงนำมาใช้เป็นถังเก็บผลไม้ จนกว่าจะได้ผลผลิตที่เพียงพอต่อการนำไปบรรจุในถังไม้ ถังแสตนเลสแช่เย็นจะช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของผลไม้และความสะอาด อีกทั้งยังง่ายต่อการเคลื่อนย้ายผลไม้ลงในถังไม้โอ๊ก การผลิตไวน์จะเริ่มจากการบ่มแบบเย็นในถังไม้โอ๊กขนาดดั้งเดิมที่มีความจุ 54 เฮกโตลิตร ระยะประมาณ 21-35 วัน จากนั้นจึงค่อยบ่มต่อในถังไม้ใหม่ 100% ไวน์จะถูกบ่มในถังอย่างน้อย 18 เดือน หรือในบางครั้งการบ่มไวน์อาจใช้เวลาถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับเหล้าองุ่น ในช่วงที่บ่มไวน์ในถังไม้ ไวน์จะถูกเปลี่ยนจากถังนึงไปสู่อีกถังนึง เพื่อทำการกำจัดตะกอนทุกๆ 3 เดือน ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำให้ไวน์มีความใสเหมือนกับไข่ขาว แต่ก็ยังคงรสชาติที่เข้มข้นไว้ ไวน์ Château Ausone จะยิ่งดีมากขึ้นถ้าบ่มไว้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 15-20 ปี ด้วยระยะเวลาการบ่มที่นานจะทำให้ไวน์มีรสชาติที่นุ่มนวลและหอมมากขึ้น

สุดท้ายนี้ การเสิร์ฟไวน์ Château Ausone ที่ดีควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียสหรือ 60 องศาฟาเรนไฮต์ ด้วยความเย็นที่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิของห้องใต้ดินจะทำให้ไวน์ยังคงความสดชื่นไว้ได้ อีกทั้งไวน์ Chateau Ausone ยังเหมาะแก่การเสิร์ฟคู่กับอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ อย่างเช่น เนื้อลูกวัว เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง เนื้อเป็ด ไก่อบ หรืออาหารประเภทอย่างอื่นๆอีกด้วย นอกจากนี้ Chateau Ausone ยังเข้ากันได้ดีกับอาหารเอเชียอย่างอาหารที่ประกอบไปด้วย ปลาทูน่า เห็ด พาสต้า และชีส

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru

Château Ausone Saint-Emilion Grand Cru

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

La Dame de Montrose Saint-Estèphe

La Dame de Montrose Saint-Estèphe

La Dame de Montrose เป็นไวน์ลำดับที่สองต่อจาก CHÂTEAU MONTROSE ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยมาตราฐานที่เข้มงวดแบบเดียวกัน โดยผ่านการผสมชนิดของสายพันธุ์องุ่น Merlot ให้มีความอ่อนนุ่มกว่าปกติ จะเห็นได้ชัดจากกลิ่นของผลไม้สีแดงและรสชาติที่สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนขึ้น ทำให้La Dame de Montrose มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และมีโครงสร้างที่ประณีตซับซ้อนน้อยกว่าCHÂTEAU MONTROSE La Dame de Montrose ได้ถูกผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1986 เพื่อเป็นเกียรติและสดุดีแก่ Yvonne Charmolue ผู้ที่บริหาร Château Montrose ตั้งแต่ปีค.ศ. 1944 จนถึงปีค.ศ. 1960แต่เพียงผู้เดียว

ไร่องุ่นของ Château Montrose ตั้งอยู่บนหนึ่งในพื้นที่ที่ได้เปรียบที่สุดในการเพาะปลูกไวน์ ด้วยพื้นที่ขนาด 95 เฮกตาร์ หรือประมาณ 593.75 ไร่ ล้อมรอบโรงกลั่นเหล้าองุ่น และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ด้านนอก ทำให้ง่ายต่อการทำงานในไร่ ในไร่องุ่นนี้มีการปลูกองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon เป็นหลัก โดยปลูกทั้งหมด 60% ของพื้นที่ สายพันธุ์ Merlot 32% สายพันธุ์ Cabernet Franc 6% และสายพันธุ์ Petit Verdot อีก 2% โดยที่สายพันธุ์ Cabernet Franc จะเป็นสายพันธุ์ที่มีคุณภาพสูงและขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นหอมที่หรูหราที่ส่งผลให้ไวน์ดูสดใหม่และมีความซับซ้อน ในขณะที่สายพันธุ์ Petit Verdot ก็จะช่วยดึงสีของไวน์ออกมา และมีรสชาติที่คล้ายกับเครื่องเทศและพริกไทย

โดยการเพาะปลูกองุ่นนั้นจะเริ่มวางแผนงานกันตั้งแต่ฤดูหนาว ทั้งการถอนต้นองุ่นทิ้ง การปลูกต้นองุ่นต้นใหม่ และการให้ปุ๋ย รวมไปถึงการพิจารณาการตัดแต่งกิ่งของต้นองุ่นตามผลลัพธ์ของเหล้าองุ่นครั้งก่อนหน้า เนื่องจากการตัดแต่งกิ่งจะส่งผลต่อรูปร่างของพืชและผลผลิตของไร่ในอนาคต จากนั้นต้นองุ่นก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และออกดอกในฤดูร้อนช่วงเดือนมิถุนายน กลิ่นหอมที่สดชื่นของดอกไม้จะเต็มไปทั่วบริเวณไร่ จากนั้นในเดือนสิงหาคมองุ่นก็จะเริ่มสุกและค่อยๆเปลี่ยนสีไปจนกระทั่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง การเก็บเกี่ยวองุ่นจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน โดยเริ่มเก็บเกี่ยวจากสายพันธุ์Merlot และปิดท้ายด้วยสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon องุ่นทุกผลจะถูกเก็บด้วยมือ จากผู้เก็บเกี่ยวที่เชี่ยวชาญร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่จะคอยชิมรสชาติของผลองุ่นทุกๆวันเพื่อตัดสินใจในการเก็บเกี่ยวผลผลิต

หลังจากการคัดแยกผลองุ่นในรอบแรกแล้วผลองุ่นก็จะถูกนำไปเก็บไว้ในโรงเรือน แล้วจึงนำมาคัดแยกด้วยมือและสายตาอีกครั้งก่อนนำไปบรรจุในถัง ทุกๆขั้นตอนของการทำไวน์ได้ถูกออกแบบมาให้ดึงเอาลักษณะของ Terroir และรูปแบบเฉพาะของ Montrose ออกมา โดยจะมีการหมักไวน์ในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสใหม่ 30% ระยะเวลาประมาณ 12 เดือน จากนั้นการผสมไวน์จะเริ่มต้นในเดือนธันวาคม ทุกๆตัวอย่างจะถูกชิมและจัดประเภทตามรูปแบบ แล้วจึงค่อยเลือกจากรูปแบบของไวน์ที่จะนำมาผสมให้ได้ตามลักษณะที่ต้องการ จนได้เป็นไวน์ที่มีสีแดงเข้ม และรสชาติที่แน่นและเข้มข้นในตอนแรก จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่งรสชาติของไวน์จะค่อยๆนุ่มนวลขึ้น และทิ้งท้ายด้วยกลิ่นหอมของผลไม้สุก

ไวน์ La Dame de Montrose มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ประมาณ 13.5% จึงควรรับประทานคู่กับอาการที่มีการย่าง เคี่ยว หรืออาหารประเภทเนื้อย่าง เช่น สเต็ก เนื้อลูกวัว เนื้อหมู เนื้อวัว และ เนื้อกวาง เป็นต้น นอกจากนี้ไวน์ La Dame de Montrose ยังเข้ากันได้ดีกับชีสอีกด้วย

La Dame de Montrose Saint-Estèphe

La Dame de Montrose Saint-Estèphe

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru เป็นไวน์แดงจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Château Faugères ที่ได้มีเริ่มมีการผลิตขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 2004 ที่เมือง Saint-Émilion ประเทศฝรั่งเศส โดยไวน์ของ HAUT FAUGÈRES ถือได้ว่าเป็นไวน์ลำดับที่สองของแบรนด์ Château Faugères เลยทีเดียว

โดยที่แบรนด์ Château Faugères นั้นมีไร่องุ่นถึง 37 เฮกตาร์ หรือประมาณ 231.25 ไร่ ที่เมือง Saint-Émilion ไร่องุ่นนี้เป็นไร่ที่ได้รับการสนับสนุนการเพาะปลูกองุ่นตามธรรมชาติ และมีการดูแลอย่างพิถีพิถัน โดยต้นองุ่นจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 ปี ซึ่งให้ผลผลิตได้เฉลี่ย 27 hl/ha ต่อไร่ ในระหว่างที่ต้นองุ่นค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นก็จะได้รับการตัดแต่งกิ่งอย่างดี ด้วยระบบการตัดแต่งกิ่งแบบ Guyot double จากนั้นเมื่อต้นองุ่นเติบโตจนสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้วนั้นก็จะถูกเก็บเกี่ยวด้วยมือเพื่อควบคุมรักษาคุณภาพของผลองุ่น จากนั้นก็จะนำผลองุ่นไปคัดแยกถึง 2 ครั้งที่บริเวณห้องใต้ดิน โดยผลองุ่นที่ไม่ผ่านการคัดแยกจะต้องถูกส่งไปยังถังหมักด้วยแรงโน้มถ่วงและต้องไม่ถูกสูบขึ้นมา เมื่อองุ่นถูกแยกกิ่งก้านออกมาเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำไปผ่านกระบวนการหมักผิวองุ่นก่อนเริ่มการหมักจริง โดยในกระบวนการนี้จะใช้อุณหภูมิในการหมักที่ 10 องศาเซลเซียสเป็นระยะเวลา 3-4 วัน เพื่อสกัดสี รสชาติและลักษณะขององุ่นออกมา ในขั้นตอนการหมักไวน์จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 อาทิตย์ที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียสถึง 30 องศาเซลเซียสในถังรูปทรงกรวยที่ทำจากไม้โอ๊ก (conical oak vats) จากนั้นไวน์ก็จะถูกบ่มต่อในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสเป็นระยะเวลา 14 เดือน

ไวน์ของ HAUT FAUGÈRES เป็นการผสมผสานระหว่างผลองุ่นจาก 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ Merlot 85% สายพันธุ์ Cabernet Franc 10% และสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 5% ในการขั้นตอนการหมักไวน์นั้นก็จะเหมือนกับการหมักไวน์ตัวหลักของ Château Faugères ยกเว้นแต่จะในการหมักไวน์ HAUT FAUGÈRES จะใช้ผลองุ่นที่อ่อนกว่า แต่ความแตกต่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพและศักยภาพของไวน์ลดลงไปแต่อย่างใด ไวน์ของ HAUT FAUGÈRES ก็ยังได้รับการแบ่งประเภทให้อยู่ในกลุ่มของ Saint Emilion Grand Cru

HAUT FAUGÈRES เป็นไวน์ที่มีรสชาติที่คลาสสิกและกลมกล่อม ผสมผสานไปกับกลิ่นหอมของผลไม้ที่สุกเต็มที่ อีกทั้งยังมีกลิ่นของไม้โอ๊กอันเป็นเอกลักษณ์เจืออยู่ด้วย โดยไวน์ของ HAUT FAUGÈRES จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 12.5% ถึง 14.5% ซึ่งถือได้ว่าเป็นปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้สูงจนเกินไปนัก

ด้วยลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวไปของไวน์ HAUT FAUGÈRES ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของผลไม้สุกและรสชาติที่กลมกล่อม ทำให้ไวน์ HAUT FAUGÈRES นั้นเหมาะสมกับการทานร่วมกับอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง หรือ เนื้อสัตว์ปีกอย่าง ไก่ เป็ด และไก่งวง เป็นต้น

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru

HAUT FAUGÈRES Saint-Emilion Grand Cru

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Beaune Du Chateau Premier Cru

Beaune Du Chateau Premier Cru

Beaune Du Chateau Premier Cru นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการผลิตขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคก่อตั้งในปี 1731 Bouchard Père et Fils ได้มีแนวคิดในการสร้างไวน์ที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดให้ออกมาในท้องตลาด ด้วยความเป็นมืออาชีพและใส่ใจในทุกขั้นตอนกระบวนการผลิต ทำให้ทางบริษัทเองไม่เคยหยุดที่จะเลือกหาเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ที่เหมาะสม มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต และยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้ในระดับสูงด้วยแนวคิดที่ว่า การทำไวน์คืองานของยอดฝีมือที่มาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์

ไวน์ Beauno Du Chateau Premier Cru เป็นไวน์แดงที่ถูกผลิตขึ้นในภูมิภาค Bourgogne ของประเทศฝรั่งเศส โดยบริษัท Bouchard Pere & Fils ไวน์ ตัวนี้เป็นไวน์ 1ใน 154 ชนิดที่ทางบริษัทได้ผลิตออกมาเพื่อวางจำหน่ายในท้องตลาด ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการชิมไวน์นี้อยู่ที่ 16 องศาเซลเซียส บรรจุขวดปริมาตร 750 มิลลิลิตร ใช้องุ่นพันธุ์ Pinot Noir ในการผลิต เป็นไวน์สไตล์ Burgundy Cote de Beaune Red ใส่วัตถุกันเสียเพื่อรักษาสภาพของไวน์ สีไวแดงของตัวนี้จะเป็นสีแดงทับทิมเป็นรัศมีล้อมรอบ วนเข้ามาและมีการเคลือบเงาของผิวสัมผัสด้วยสีแดงเลือดหมู

รสชาติโดยรวมของไวน์ตัวนี้ ความรู้สึกเมื่อตัวไวน์สัมผัสกับเพดานปาก จะให้รสชาติที่ค่อนข้างนุ่มละมุนและมีความแห้งในเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างมาก ความเปรี้ยวจากกรดน้ำส้มก็ค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน โครงสร้างโดยรวมของตัวไวน์ค่อนข้างหนาแน่นไปด้วยมวลอณูของแอลกอฮอล์ มีรสชาติของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น เชอร์รี่ สตอเบอรี่ ตัวเบอร์รี่ที่มีสีแดง มากถึง 511 ชนิด รสชาติแบบเอิร์ธโทนที่ต่างกัน 374 ชนิด กลิ่งรถแบบเดียวกับไม้โอ๊ค 337 ชนิด กลิ่นหอมหวานของผลไม้ที่มีสีดำสีเข้มมากถึง 93 ชนิด กลิ่นของเครื่องเทศต่างๆ 89 ชนิด กลิ่นของผลไม้ตระกูลผลส้ม 48 ชนิด กลิ่นของชีสและครีม 38 ชนิด กลิ่นของผลไม้ยืนต้นตระกูแอปเปิล 31 ชนิด กลิ่นของการหมักที่อาศัยระยะเวลาของไวน์แบบเดียวกับขนมปัง ถั่วอัลมอนด์และถั่วอื่นๆมากถึง 28 ชนิด นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ 25 ชนิด  กลิ่นของพืชพันธ์ใบเขียว 19 ชนิด กลิ่นแบบผลไม้แห้ง 13 ชนิด กลิ่นผลไม้เมืองร้อน 8 ชนิด

ไวน์ตัวนี้เหมาะกับการจับคู่กับเมนูอาหารต่างๆที่ทำจาก เนื้อวัว เนื้อลูกวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู เนื้อกวางและ สัตว์ปีก เมนูแบบพาสต้าหรือรีซ็อตโต้ ก็เข้ากัน ชีส Camemberts ก็เข้ากันดี ซึ่งการรับประทานอาหารเหล่านี้ควบคู่กับไวน์ชนิดนี้จะยิ่งทำให้รสชาติและกลิ่นสัมผัสของไวน์มีความหอมหวานและมีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้นกว่าการรับประทานเพียงแค่ตัวไวน์อย่างเดียว

Beaune Du Chateau Premier Cru

Beaune Du Chateau Premier Cru

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac

Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac

            Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีความนิยมที่ค่อนข้างสูงมาก รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และการถูกผลิตขึ้นมาภายใต้ชื่อแบรนด์อย่าง Chateau Haut-Bages Liberal ซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านชุมชนในการผลิตไวน์และส่งออกไวน์ชื่อดังอย่าง Pauillac ซึ่งเป็นบริเวณตรงกลางระหว่างบริเวณ Saint Estephe และบริเวณ Saint Julien ในเขตเมือง Medoc ของเขตการปกครอง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างไม่ซับซ้อนมากเท่าไหร่นัก โดยทางผู้ผลิตนั้นได้มีการเลือกสรรสายพันธุ์องุ่นยอดนิยมเพียงแค่สองสายพันธุ์เท่านั้น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Merlot 30% และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 70% ด้วยกัน ซึ่งองุ่นที่นำมาใช้นั้นจะต้องเป็นองุ่นที่ผ่านการเพาะปลูกในสวนและไร่องุ่นของตัวเองเท่านั้น ซึ่งองุ่นทั้งหมดนั้นจะถูกไปหมักลงในถังไม้โอ๊กสายพันธุ์ฝรั่งเศสใบใหม่ประมาณ 40% เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 15-18 เดือนด้วยกัน โดยอายุของไวน์นั้นจะมีอายุอย่างยาวนานมากถึง 35 ปีด้วยกัน

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกลิ่น สีเนื้อสัมผัส และรสชาติที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก โดยเริ่มแรกจากไวน์ชนิดนี้จะเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยมที่ค่อนข้างใสสว่าง เป็นสีแดงเข้มราวกับสีแดงทับทิมใส นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเต็มน้ำเต็มเนื้อ มีรสชาติที่ดี มีทั้งความเบาบาง นุ่มนวล และแห้งในเนื้อไวน์อย่างชัดเจน เป็นรสชาติและกลิ่นของไวน์ที่ค่อนข้างหวานราวกับรสชาติของน้ำผลไม้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะกลิ่นและรสชาติของต้นโอ๊กที่ค่อนข้างมีความโดดเด่นเป็นพิเศษอย่างดี รวมทั้งยังมีความเปรี้ยวราวกับกรดของสารแทนนินอีกด้วย

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมอย่างดียิ่ง เป็นไวน์ที่ค่อนข้างมีความเต็มน้ำเต็มเนื้อ และมีเอกลักษณ์จากผลไม้สีแดงหลากหลายชนิดที่ผสานกันกับกลิ่นและรสชาติของต้นโอ๊กอย่างดี ซึ่งนับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เหมาะกับการรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12.5-14% อีกด้วยเช่นกัน

Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac

Chateau Haut-Bages Liberal Pauillac

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Chateau de Pez Saint Estephe

Chateau de Pez Saint Estephe

            Chateau de Pez Saint Estephe นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีมนต์เสน่ห์อีกขวดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยแบรนด์ไวน์ที่ได้มีการสร้างสรรค์และผลิตไวน์ชนิดนี้ขึ้นมา ได้แก่ แบรนด์ไวน์ Chateau de Pez ซึ่งนับได้ว่าเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการสร้างแหล่งเพาะปลูกหรือไร่องุ่นของตัวเอง รวมทั้งยังมีพื้นที่ของคฤหาสน์เก่าแก่ที่นำมาใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์ยอดนิยมและเป็นแบรนด์ไวน์ที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ย่านชุมชนที่ถือว่ามีชื่อเสียงในระดับหนึ่งการผลิตไวน์อย่าง Saint Estephe ที่อยู่ในเมือง Medoc ที่อยู่บริเวณใกล้ใจกลางของเขตการปกครองดังอย่าง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส

            โดยไวน์ชนิดนี้นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างซับซ้อนอยู่พอสมควร เนื่องด้วยทางผู้ผลิตนั้นได้มีการนำองุ่นมาใช้มากถึงสี่สายพันธุ์ด้วยกัน รวมทั้งอัตราส่วนและปริมาณในการใช้ผลิตในแต่ละปีก็มีความแตกต่างกันอีกด้วย โดยสายพันธุ์องุ่นที่ทางผู้ผลิตได้มีการเลือกสรรมาใช้ในการผลิตในครั้งนี้ ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon, Merlot, Cabernet Franc และองุ่นสายพันธุ์ Petit Verdot โดยองุ่นทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น ทางผู้ผลิตนั้นจะนำองุ่นทั้งหมดนั้นจะนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กสายพันธุ์ฝรั่งเศสใบใหม่ประมาณ 40% เป็นเวลายาวนานกว่า 15 เดือน และไวน์ชนิดนี้กลับมีความพิเศษอย่างหนึ่งคือไวน์ชนิดนี้มีการผลิตเพียงแค่จำนวน 18,500 ขวดต่อปีเท่านั้น ซึ่งนับว่าค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับไวน์ชนิดอื่นๆมาก

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีลักษณะและรูปร่างภายนอกที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่งและมีมนต์เสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ เริ่มแรกจากไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีสีของเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเป็นสีแดงเข้มสมกันกับเป็นไวน์แดงชั้นดี นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสสัมผัสที่ถือว่าได้ว่ามีความพิเศษ เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่นจากดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้สีดำหลากหลายชนิดด้วยกัน ที่ผสานกันกับกลิ่นดิน กลิ่นซิการ์ และกลิ่นเครื่องเทศที่มีกลิ่นและรสชาติที่ไม่ค่อยรุนแรงมากเท่าไหร่นัก รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเต็มน้ำเต็มเนื้อและมีความเข้มข้นของเครื่องเทศ ผลเคอร์แรนและกาแฟเอสเปรสโซ่อีกด้วย

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมเป็นอย่างดียิ่งอีกด้วย รวมทั้งยังเป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่นด้วยหลากหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นและรสชาติของดอกไม้ ผลไม้สีดำ ซิการ์ เครื่องเทศ กาแฟเอสเปรสโซ่และผลเคอร์แรน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานไวน์ชนิดนี้ควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12-14.3% เพียงเท่านั้น

Chateau de Pez Saint Estephe

Chateau de Pez Saint Estephe

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Secret De Grand Bateau Bordeaux

Secret De Grand Bateau Bordeaux

            Secret De Grand Bateau Bordeaux นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่ถูกสร้างสรรค์และถูกผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ชื่อดังที่มีความสามารถในการผลิตไวน์คุณภาพชั้นเยี่ยมอย่าง Grand Bateauซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ในเมือง Bordeaux ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงและได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งการผลิตและส่งออกไวน์ในระดับแถวหน้าของโลก โดยเมืองนี้ได้มีการตั้งอยู่ที่บริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างละเอียดและมีความซับซ้อนอยู่พอสมควร อันเนื่องมาจากทางผู้ผลิตได้มีการนำองุ่นมากมายหลากหลายชนิดมาใช้ในการผลิตไวน์ในครั้งนี้ โดยสายพันธุ์องุ่นที่มีการนำมาใช้ในการผลิตนั้น ผู้ผลิตได้เลือกองุ่นทั้งหมดห้าสายพันธุ์มาใช้ด้วยกัน โดยการใช้ในแต่ละครั้งนั้นจะมีอัตราส่วนที่ใช้ค่อนข้างแตกต่างกันตามปีที่มีการผลิต โดยองุ่นที่นำมาใช้นั้น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Semillon, Sauvignon Blanc และองุ่นสายพันธุ์ Muscadelle โดยองุ่นทั้งหมดนั้นจะถูกนำมาผสมรวมกันจนกลายเป็นไวน์ขาวผสมชั้นเยี่ยม

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นไวน์ที่มีมนต์เสน่ห์ที่ลักษณะของไวน์ที่ค่อนข้างมีความหนาแน่นในเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างชัดเจน อีกทั้งยังมีสีของเนื้อสัมผัสที่ออกเป็นสีขาวปนเขียวใสสวยงามอย่างยิ่ง นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ด้วยความที่ไวน์ชนิดนี้มีลักษณะขององค์ประกอบของผลไม้สุกหลากหลายชนิดที่โดดเด่นมาเหนือกว่าองค์ประกอบอื่นในเนื้อสัมผัส แล้วมีการผสมผสานกันกับผลไม้สีดำ เครื่องเทศ และต้นโอ๊กเผาอย่างดี

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชวนให้น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผลไม้สุกและผลไม้สีดำหลากหลายชนิดที่ผสานตัวกับกลิ่นและรสสัมผัสของต้นโอ๊กเผาและเครื่องเทศ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อวัว เครื่องในสัตว์ เนื้อกวาง และเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 14.5% ด้วยเช่นกัน

Secret De Grand Bateau Bordeaux

Secret De Grand Bateau Bordeaux

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Pavillon Blanc du Chateau Margaux Bordeaux

Pavillon Blanc du Chateau Margaux Bordeaux

            Pavillon Blanc du Chateau Margaux Bordeaux นับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการถูกสร้างสรรค์และถูกผลิตขึ้นมาด้วยความตั้งใจจากแบรนด์ไวน์ชื่อดังที่มีชื่อเสียงและได้รับการการันตีด้วยรางวัลมากมายถึงความสามารถในการผลิตไวน์อย่าง Chateau Margaux ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่เมืองMargaux ซึ่งเป็นสถานที่ชื่อดังที่มีความสามารถในการผลิตและการส่งออกไวน์เป็นระดับแถวหน้าของโลกที่อยู่ในเมือง Medoc ของเขตการปกครอง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งแบรนด์ไวน์ชนิดนี้ได้มีการใช้อาคารที่มีความเกี่ยวข้องกับการผลิตไวน์ในอดีตมาสืบทอดต่อในการผลิตไวน์มาจนถึงช่วงเวลาปัจจุบันอีกด้วยเช่นกัน

            โดยไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีการนำองุ่นที่มีการเพาะปลูกในไร่องุ่นของแบรนด์ไวน์นี้มาใช้เท่านั้น โดยพื้นที่ในการเพาะปลูกไวน์นี้มีความกว้างขวางมากถึง 11 เฮกตาร์ด้วยกัน ซึ่งสายพันธุ์องุ่นที่ทางผู้ผลิตนั้นเลือกมาใช้และเป็นสายพันธุ์องุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่มีการเพาะปลูกในไร่องุ่นนั้น ได้แก่ องุ่นสายพันธุ์ Sauvignon Blanc ซึ่งเป็นสายพันธุ์องุ่นที่นิยมเป็นอย่างยิ่งที่ใช้ผลิตไวน์ทั้งไวน์แดงและไวน์ขาว โดยทางผู้ผลิตยังมีการอาศัยความรู้และเทคนิคเชิงลึกในการแยกองุ่นที่ใช้สำหรับทำไวน์แดงและไวน์ขาวในช่วงระหว่างการผลิตได้ ซึ่งเป็นวิธีการที่มีมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1920

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้อีกว่าเป็นไวน์ที่มีไวน์ขาวที่มีจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่สีของเนื้อสัมผัสเป็นสีใสปนเขียวอ่อนงดงามอย่างมาก อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ขาวที่มีองค์ประกอบของเนื้อสัมผัสที่เหนียวแน่นพอดี จึงทำให้ไวน์ชนิดนี้มีความงดงามอย่างหาตัวได้จับได้ยาก อีกทั้งไวน์ชนิดนี้ยังมีลักษณะที่โดดเด่นจากกลิ่นและรสชาติของต้นโอ๊กและวานิลลาจางๆเป็นหลัก รวมทั้งยังมีการผสานกันกับองค์ประกอบอื่นจนทำให้ไวน์นี้มีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้ง เนย ผลส้มเขียวหวาน เลม่อนและมะนาว

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและเนื้อสัมผัสที่ยอดเยี่ยมและน่าดึงดูดอย่างมาก เป็นไวน์ขาวที่มีสีของเนื้อสัมผัสเป็นสีเขียวใสผสานกันกับสีขาวสวยงาม อีกทั้งยังมีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเข้มข้น มีความสมดุลและมีความแห้งอย่างชัดเจน ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อหมู อาหารมังสวิรัติ เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่หรือเนื้อเป็ด เนื้อปลาไขมันต่ำ และอาหารเรียกน้ำย่อยและขนมขบเคี้ยวต่างๆ นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 13-15.5% อีกด้วย

Pavillon Blanc du Chateau Margaux Bordeaux

Pavillon Blanc du Chateau Margaux Bordeaux

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com

Clémentin de Pape Clément Pessac-Leognan

Clémentin de Pape Clément Pessac-Leognan

            Clémentin de Pape Clément Pessac-Leognan นับได้ว่าเป็นไวน์แดงยอดนิยมที่มีการถูกสร้างสรรค์และถูกผลิตขึ้นมาภายใต้แบรนด์ไวน์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 อย่าง Clémentin de Pape Clément ที่มีการตั้งถิ่นฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่ย่านชุมชนที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตไวน์แดงอย่าง Pessac-Leognan ซึ่งสามารถใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีก็จะสามารถเดินทางมายังใจกลางเมือง Bordeaux ของประเทศฝรั่งเศส

            ซึ่งไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างซับซ้อน อันเนื่องจากทางผู้ผลิตนั้นได้มีการนำองุ่นมากถึงสองสายพันธุ์มาใช้ในการผลิตไวน์ชนิดนี้ โดยสายพันธุ์องุ่นที่นำมาใช้นั้นทางผู้ผลิตได้มีการเลือกนำเอาองุ่นสายพันธุ์ Merlot 70% และองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon 30% มาใช้ในการผลิต โดยองุ่นทั้งหมดนั้นจะต้องผ่านการเลือกสรรเอาเพียงแค่องุ่นที่มีคุณภาพที่สุดมาใช้ นอกจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังมีกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างแตกต่างจากไวน์ชนิดอื่น ด้วยการนำเทคนิค Gravity Flow หรือการอาศัยแรงโน้มถ่วงมาใช้ในการผลิตไวน์นี้ด้วย ซึ่งจะใช้เทคนิคนี้เพื่อให้ไวน์นั้นกระจายตัวทุกองค์ประกอบกันได้อย่างดี นอกเหนือจากนี้ก็ได้มีการเพิ่มกระบวนการผลิตด้วยการปรับลดอุณหภูมิลงให้เหลือเพียงแค่ประมาณ 8 องศาเซลเซียสพร้อมทั้งบ่มองุ่นให้เนื้อผิวยุ่ยเป็นเวลายาวนานกว่า 30-35 วันก่อนที่จะนำไปหมักลงในถังไม้โอ๊กเป็นเวลายาวนานกว่า 16 เดือนและนำไปบรรจุลงในขวดไวน์ต่อไป

            โดยไวน์ชนิดนี้ที่มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดแก่นักดื่มหลากหลายท่านอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภายนอกทั้งรสชาติ รูปร่าง กลิ่นและเนื้อสัมผัสของไวน์ก็ดูดีอย่างมาก โดยเริ่มแรกจากสีของเนื้อสัมผัสของไวน์ที่เป็นไวน์แดงที่มีสีแดงเข้มสมกันกับเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยม บวกกันกับกลิ่นและรสชาติของไวน์ก็มีเอกลักษณ์จากใบยาสูบ และลูกพีทขาวที่มาในช่วงแรกด้วยความเข้มข้นอย่างดี หลังจากนั้นกลิ่นและรสชาติของผลส้ม รังผึ้งและผลไม้เมืองร้อนหลากหลายชนิดก็ได้เข้ามาแทรก ทำให้ไวน์ชนิดนี้มีมนต์เสน่ห์มากยิ่งขึ้นไปอีก นับได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีความสมดุลในเนื้อสัมผัสเป็นอย่างดี

            ในภาพรวมสามารถกล่าวสรุปได้ว่าไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมและชวนให้น่าลิ้มลองไวน์นี้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความโดดเด่นของไวน์ที่เกิดมาจากผลไม้เมืองร้อน ผลส้ม และใบยาสูบ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับประทานไวน์นี้ควบคู่กันกับอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อกวางและเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่และเนื้อเป็ด นอกเหนือจากนี้ไวน์ชนิดนี้ยังนับได้ว่าเป็นไวน์ที่มีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ประมาณ 12-14% อีกทั้งยังเป็นไวน์ที่มีอายุของไวน์นั้นที่ประมาณ10-15 ปีและควรเก็บรักษาไวน์ชนิดนี้ที่อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 15.5 องศาเซลเซียส หรืออยู่ที่ประมาณ 60 องศาฟาเรนไฮต์ และข้อแนะนำที่สำคัญคือก่อนรับประทานไวน์ชนิดนี้ นักดื่มควรที่จะนำไวน์ชนิดนี้ออกมาจากที่แช่ก่อนประมาณ 2-4 ชั่วโมงเพื่อทำให้เนื้อสัมผัสของไวน์มีความนุ่มนวล บางเบา และมีกลิ่นของไวน์ที่หอมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

Clémentin de Pape Clément Pessac-Leognan

Clémentin de Pape Clément Pessac-Leognan

สั่งซื้อสินค้า

ติดต่อสอบถามสั่งซื้อทาง Line ครับ

โดย รีวิวเหล้านอก.com